BLOG TOPIC_A
โปรโมชั่นลดจากเดิม 30% (ไม่รับโฆษณาผิดกฏหมายทุกประเภท)
เชลซี 0-1 อาร์เซนอล
จุดที่เหมือนกันของ อาร์เซนอล และ แมนฯซิตี้ ในเวลานี้คือนักเตะทุกคนในสนามมี composure หรือความนิ่งกับบอลเอามากๆ
คุณสมบัติที่ว่านี้ทำให้ “ปืนใหญ่” outclass เหนือ เชลซี อย่างชัดเจน ดังเราจะเห็นว่านักเตะ ”สิงห์บลู” ยอมรับแบบกลายๆถึงเลิกเพรสและลงไปตั้งรับทั้งๆที่เล่นในบ้านตัวเอง
วิชาที่เรียนมาจาก เป๊ป ของ มิเกล อาร์เตต้า ทำให้เจ้าถิ่นหาคู่มือเกมรุกไม่เจอ แดนกลางหายไปเลยและแนวรับต้องโยนยาวเป็นวิธีขึ้นเกมที่น่าอึดอัดแทน (ในฐานะคนกลาง)
การสัมผัสบอลในครึ่งแรกเพียงแค่ 5 ครั้งของ ปิแอร์-เอเมริก โอบาเมย็อง บ่งบอกชัดเจนว่าเกมรุกของ เชลซี เน่าสนิทแค่ไหน
ตรงกันข้ามการกลับมาเล่นหลัง 4 ของ แกรห์ม พ็อตเตอร์ ทำให้เกมรับของ “สิงห์” เป็นตัวแบกเกมรุกจนกระทั่งมาโดนลูกเตะมุมแบบงงๆในนาที 63 นั่นแหละครับ
มาร์ค คูคูเรญ่า รับมือกับ บูกาโย่ ซาก้า ได้ดีเอามากๆหรือจะพ่วง เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า เข้ามาด้วยอีกคนที่ปิดการขึ้นของ กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ ดีเกินคาด
นั่นคือเรื่องดีๆที่พอจะพูดถึง เชลซี แต่ท้ายที่สุดแล้วมันกลบความผิดหวังและสภาพที่ออกมาในเกมนี้ไม่ได้เลย
จากการหมดสภาพในเกมนี้ พ็อตเตอร์ มีอะไรต้องปรับจูนอีกเยอะครับ ช่วงเวลาฮันนีมูนหมดเร็วกว่าที่คาดเพราะตอนนี้ เชลซี แพ้รวด 2 นัดติดแล้วและไม่ชนะใครในลีกมา 4 นัดหล่นมาที่ 7 เป็นผลงานที่ต่ำกว่ามาตรฐานที่ “เสี่ยท็อดด์” แกต้องการเยอะ
แต่ในความห่วยของเกมรุก “สิงห์” ผมอยากให้เรา สแตนดิ้ง โอเวชั่น ให้นักเตะ “ปืน” ทุกคนด้วยครับ
โธมัส ปาร์เตย์ เป็น BOSS ในแดนกลาง เด่นทั้งจังหวะชนและการเอาตัวรอด ยิ่งเล่นยิ่ง class ห่างชั้นกับกลางของ เชลซี ที่เอา เมาท์, จอร์จินโญ่ และ ลอฟตัส ชีค มัดรวมกันยังโดนกลบรัศมี
วิลเลี่ยม ซาลิบา เป็นกองหลังดาวรุ่งอีกคนที่ก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักและคายศักยภาพออกมาได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ส่วนนึงมาจากระบบที่ทำจังหวะการเล่นของนักเตะทุกคนลงตัวเอามากๆ
ดูง่ายๆอย่าง กรานิต ซาก้า ที่เคยเกือบหมดอนาคตแต่ซีซั่นนี้เปลี่ยนจากออกใบมรณะบัตรเป็นใบแจ้งเกิดแทน
อาร์เตต้า ยกระดับ “ปืน” ขึ้นมาเป็นพี่ใหญ่ในลอนดอนเรียบร้อยแล้วครับ การเอาชนะ เชลซี ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ 3 ปีติดแม้กระทั่ง จอร์จ เกรแฮม และ อาร์แซน เวนเกอร์ ปรมาจารย์ยังทำไม่ได้เลย
เห็น “สปิริต” ของนักเตะ อาร์เซนอล ทำให้ผมนึกถึงช่วง 2-3 ปีก่อนที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ ส่งต่อความกระหายชัยชนะและความสำเร็จให้ลูกทีมจนเข้าเส้นเลือด เหมือนกันเป๊ะๆ
การมีคู่แข่งอย่าง แมนฯซิตี้ ที่ถูกยกให้เป็นทีม edit เป็นแรงผลักทำให้คนที่จะมาต่อกรเห็นความสำคัญของชัยชนะในแต่ละเกมที่พลาดไม่ได้เลย
ชัยชนะ 11 จาก 13 เกมและอันดับตารางไม่เคยโกหกใคร วลีที่แฟน “ปืนใหญ่” ยามนี้ฟินน้ำแตกกันถ้วนหน้าครับ…
แอสตัน วิลล่า 3-1 แมนฯยูฯ
ไม่รู้เราเหมือนกันไหมนะ…เวลาเห็นคู่แข่งฟอร์มห่วยหรือนักเตะตัวหลักเจ็บ ผมมักไปดูโปรแกรมแข่ง อยากตักตวงผลประโยชน์จากอะไรพวกนี้
บอลไม่ใช่ฝีมือฝีเท้าอย่างเดียว บางครั้งจังหวะและความบังเอิญมันก็เป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรพวกนี้เช่นกัน
ความซวยของ แมนฯยูไนเต็ด คือต้องมาเจอ แอสตัน วิลล่า ที่มี อูไน เอเมรี่ คุมทีมเป็นเกมแรกหรือพูดภาษาคนดูบอลก็คือ “บอลเปลี่ยนโค้ช”
เป็นสิ่งที่ทุกทีมอยากเลี่ยงมากที่สุดเพราะบอลเปลี่ยนโค้ชมันจะเหมือนกันอย่างนึงคือนักเตะที่เคยเล่นกากๆจู่ๆกลับมี “บัฟ” ขึ้นมาซะงั้น
การถูก วิลล่า ขึ้นนำ 2-0 ตั้งแต่ 11 นาทีแรกท่ามกลางบรรยากาศที่มีเสียงแฟนบอลหนุนหลังมองไม่เห็นหนทางเลยที่ “ปีศาจแดง” จะกลับมาได้
แถมยังมาเกิดขึ้นในวันที่ บรูโน่ แฟร์นานเดส ติดโทษแบนพอดียิ่งหมดหวังเข้าไปอีกเมื่อ คริสอาโน่ โรนัลโด้ และ ดอนน่ ฟาน เดอ เบค ที่ได้โอกาสเป็นตัวจริงพร้อมกันไม่สร้างประโยชน์ใดๆให้ทีมเลย
การขาดนักบู๊จอมขยัน/ตัวครีเอตอย่าง บรูโน่ 2 in 1 ที่เล่นเข้าขากับ คริสเตียน เอริคเซ่น สุดๆถือว่าเสียหายหลายแสน
เกมรับ “ปีศาจแดง” หลวมขนาดไหนลองดูไฮท์ไลท์ของทรูวิชั่นสิครับ (ไม่ได้โฆษณานะ) เขี่ยบอลครึ่งหลัง (ไม่เกิน 10 วินาที) กราฟฟิค second half ขึ้นมายังไม่ทันเอาลงพวกปล่อยให้ ไบลีย์ ลากเดี่ยวขึ้นมาส่องแบบเกม FIFA ซะงั้น
ประตูแรกที่โดนตั้งแต่นาทีที่ 7 ผมเห็นหลายคนตำหนิ ลินเดอเลิฟ แต่ในฐานะที่ผมเล่นกองหลัง มันเป็นจังหวะที่ไล่บีบให้ วัตกิน ต้องเลี้ยงตัดหนีไปกลางสนาม จะให้แกทำอะไรมากกว่านี้ล่ะครับ
จังหวะแบบนี้เพื่อนคนอื่นๆต้องช่วยกันประกบคู่ต่อสู้ด้วยสิครับแต่นี่กลางรับและเซนเตอร์ไม่มีใครคุม แรมซี่ย์ (คนแอสซิสต์) และ ไบลี่ย์ (คนยิง) เลย
เหมือนปล่อยให้เลิฟขยันไล่อย่างเดียว พอหันมาอ้าวพวกมรึงทำอะไรกันอยู่!?
ลองดูภาพช้าสิครับ…เรียกว่าทั้ง 2 คนมีเวลามากพอจนเกือบแย่งบอลกันเองด้วยซ้ำ
แต่เห็นด้วยว่า “เลิฟ” เป็นกองหลังสายเกียร์ R คือถอยอย่างเดียว ไม่เข้าปะทะตัดเกม อย่างลูก 3-1 ถอยจน วัตกินส์ จากอยู่นอกเขตจนเข้ามาข้างในเขตโทษซะงั้น
เป็นลูกที่โดนตั้งแต่ 4 นาทีของครึ่งหลัง อุตสาห์ตามมา 2-1 บทจะเสียก็เอาง่ายๆแบบนี้เลยทั้งๆที่จังหวะนี้มีผู้เล่นทีมเยือนในกรอบถึง 5 ต่อ 2 แต่แบ่งตัวคุมกันหลวมเหลือเกิน
สำหรับ วิลล่า การมาของ อูไน ที่เห็นเปลี่ยนแปลงไปชัดๆเลยคือ movement ของนักเตะที่ไม่มีบอล
การมีตัววิ่งทำให้เพื่อนออกบอลจังหวะเดียวง่ายขึ้นและเกมเดินหน้าไม่ต้องมาใช้วิธีแบบเก่าคือคอยจับบอลพักบอลแล้วตัวเองก็ทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายคืนหลัง
ครับ เป็นวันที่ไม่มีอะไรเป็นใจให้ ยูไนเต็ด ที่ขาดจอมทัพฝีเท้าดีและยังต้องมาเจอกับการเล่นรับนายใหม่ของ แอสตัน วิลล่า คู่แข่งในคาราบาว คัพ กลางสัปดาห์นี้…
สเปอร์ส 1-2 ลิเวอร์พูล
ใครเห็นก็คิดว่าไม่น่ารอดหลัง แฮร์รี่ เคน ยิงตีไข่แตกไล่มา 2-1 ใน 70 แต่เดชะบุญทำให้ ลิเวอร์พูล เก็บ 3 แต้มแรกนอกบ้านในซีซั่นนี้และยุติฝันร้ายที่แพ้ “บ๊วย” และ “รองบ๊วย” มา 2 วีคติดต่อกัน
ผมนึกสภาพไม่ออกหาก “ไก่เดือยทอง” ตัวรุกอยู่กันครบทั้ง ริชาร์ลิซอน และ ซน เฮือง มิน เพราะมีตัวเลือกจำกัดยังบุกขยี้จน “หงส์แดง” โงหัวไม่ขึ้นตลอดทั้งครึ่งหลัง
2 ประตูของ โม ซาลาห์ ทำให้ ลิเวอร์พูล ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากลงมารักษาสกอร์และแทบไม่เอาอะไรกับเกมรุกเลย
แต่ที่กลายเป็นบอลพับสนามข้างเดียวหลัง อันโตนิโอ คอนเต้ ส่ง เดยัน คูลูเซฟสกี้ ลงมาในนาที 68
เป็นช่วงเวลาที่ เดอะ ค็อป ทรมานที่สุดในชีวิตเกมนึง
1 เสา 1 คานและลูกเตะมุมที่เหมือนโดนจุดโทษ การที่ ลิเวอร์พูล รอดตายครั้งแล้วครั้งเล่าเป็นอะไรที่เหลือเชื่อสุดๆ
ในความเป็นจริงเราเห็นตั้งแต่ครึ่งแรกแล้วว่า สเปอร์ส ที่ตัวรุกหายไปเพียบขึ้นเกมลำบากและไม่ใช้บริการของแดนกลางซักเท่าไหร่
แต่ใช้วิธีสาดยาววัดดวงหรืออีกนัยนึงคือ คอนเต้ เชื่อว่าสภาพแนวรับที่ไม่นิ่งของ ลิเวอร์พูล อาจเป็นอาวุธลับที่ดีที่สุดในเวลานี้
ในขณะที่ ลิเวอร์พูล ที่คุมโซนสลับกับพยายามเชื้อเชิญให้ “คลับไก่” วางยาวด้วยการดันหลังขึ้นมาสูงเป็นพักๆ
เป็นแท็คติกส์ที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ ใช้ยามเจอ สเปอร์ส อยู่บ่อยๆและแน่นอนครับจุดที่โดนเจาะคือแบ็คขวาตรง เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์
ผมว่าน้องแกเรื่องสปีดคงไม่พัฒนาแล้วแต่อย่างน้อยๆ “ทางบอล” ต้องมีบ้าง หาไม่แล้วห่วยทั้ง 2 คุณสมบัติคุณเล่นบอลในระดับสูงสุดได้ไม่ตลอดรอดฝั่งแน่ๆ
สำหรับเกมนี้ถ้าพูดว่า ดาร์วิน นูนเญซ เล่นดีที่สุดนับตั้งแต่ย้ายมา ลิเวอร์พูล มันอาจจะ “พิเศษ” ไม่พอ
ผมขอใช้คำว่าเป็นเกมที่ “หนูน” ดูกลมกลืนเป็นพวกเดียวกันกับเพื่อนร่วมทีมมากที่สุดเกมนึงในซีซั่นนี้
ทั้งพักบอล, ความนิ่งในการลากเลื้อยและขยันลงมาช่วยเกมรับช่วยแบ่งเบาภาระ “โม” ที่แบกหลังแอ่นทุกนัดพอได้บ้าง
แต่อย่างที่ เธียร์รี่ อองรี ว่าเอาไว้ว่าเพื่อพิสูจน์ว่าทำไมถึงมีค่าตัวแพง นูนเญซ จึงออกแนวหิวแสงพยายามมากเกินไปจนฝืนจังหวะ
เมื่อถึงจุดๆนึง “หนูน” จะเริ่มเล่นบอลในแบบฉบับที่ควรเป็นซึ่งเราได้เห็นแล้วกับการแอสซิสต์ให้ ซาลาห์ ยิงลูกแรก
ในขณะที่ สเปอร์ส เป็นทีมที่ขึ้นๆลงๆไม่สามารถก้าวข้ามไปอยู่ในระดับ top แบบเต็มตัวได้ซักทีจากปัญหาแนวรับมักแจกประตูให้คู่แข่งให้เห็นอยู่เรื่อยๆ
เอริค ดายเออร์ อยู่ในเหลี่ยมที่มองเห็น ซาลาห์ ไม่ควรโหม่งคืนหลังตั้งแต่แรก การโชว์เก๋าผิดที่ผิดทางแถมบอลแป๊กโดนหัวไหล่กลายเป็นประตูชัยของ ลิเวอร์พูล ไปเลย
ครับ 3 แต้มสำคัญที่ทำให้ “หงส์แดง” ดูผ่อนคลายเอามากๆเนื่องจากทีมที่ไล่หลังมาเก็บชัยชนะกันรัวๆจนห่างโซนแดงแค่ 4 แต้ม เห็นแล้วใจคอไม่ดีเลย
ความรู้สึกดูบอลซีซั่นนี้ต่างจากทุกๆครั้ง เมื่อก่อนร้อนรนเมื่อไหร่จะถึงสุดสัปดาห์ซักที อยากเห็นทีมรักขยี้ฝั่งตรงข้ามยิกๆแต่ตอนนี้อ้าวถึงวันเสาร์วันอาทิตย์ละเหรอ เร็วจัง!!
การแน่นิ่งแพ้บ๊วยและรองบ๊วย 2 นัดติดต่อกันทำให้ ลิเวอร์พูล ไม่มีทางเลือกต้องทวงคืน 6 แต้มเกมพบ เซาธ์แฮมป์ตัน ในบ้านทิ้งทวนก่อนเบรกบอลโลกสถานเดียวครับ…
สถิติ สถิติ สถิติ
อาร์เซนอล กลายเป็นทีมแรกที่บุกมาชนะ เชลซี ในพรีเมียร์ลีก 10 นัดในขณะเดียวกันพวกเขาเป็นเพียงทีมที่ 2 ในประวัติศาตร์ที่ชนะที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ 3 นัดรวด โดยแบล็คเบิร์น เป็นทีมแรกที่ทำได้ (1993/94 – 1995/96)
“ปืนใหญ่” เอาชนะทีม “บิ๊ก 6” 3 นัดรวดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2012
กาเบรียล มากัลเยส ทำประตูจากจังหวะเตะมุมในพรีเมียร์ลีกไปแล้ว 9 ลูก ขึ้นแท่นที่ 1 เมื่อนับสถิตินี้ตั้งแต่เขาย้ายมาเล่นที่อังกฤษเมื่อปี 2020-21
9 – กาเบรียล มากัลเยส
8 – แฮร์รี่ เคน
6 – ซูม่า, ซาล่า และ ดังค์
ก่อนลงสนามเกมนี้ แมนฯยูฯ ไม่แพ้ที่ วิลล่า พาร์ค ถึง 23 เกม เป็นสถิติไร้พ่ายของทีมที่ไปเยือนสนามเดิมที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ
อย่างไรก็ตาม “ปีศาจแดง” แพ้เกมเยือน 9 นัดในลีกในปี 2022 นับเป็นความพ่ายแพ้นัดเยือนมากที่สุดใน 1 ปีปฏิทินนับตั้งแต่ปี 1989 (12 นัด)
แมนฯยูฯ ถือเป็นเจ้าพ่อปราบบอลเปลี่ยนโค้ชเพราะก่อนเจอ อูไน เอเมรี่ พวกเขาเปิดซิงบอสใหม่ป้ายแดงนัดแรกเรียบ 9 คน
เจคอป แรมซี่ย์ เป็นนักเตะเพียงคนที่ 4 ในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกที่ทำประตู, แอสซิสต์และทำเข้าประตูตัวเองในเกมเดียวโดย 3 คนที่เคยทำไว้ได้แค่ แกเรธ เบล (2012), เวย์น รูนีย์ (2012) และ เควิน เดวีส์ (2008)
นับเป็นครั้งแรกที่ สเปอร์ส ตามหลังคู่ต่อสู้ในบ้าน 2+ ตอนพักครึ่ง 2 นัดติดต่อกันหลังก่อนหน้านี้แพ้ นิวคาสเซิ่ล คาบ้านก็ตามหลังช่วงพักครึ่ง 2-0
โม ซลาห์ ทำสถิติยิง+จ่าย 19 ลูกในทุกรายการซีซั่นนี้ (ยิง 14 จ่าย 5) โดยตลอด 6 ซีซั่นกับ ลิเวอร์พูล มีเพียงหนเดียวเท่านั้นที่ “บัง” ทำตัวเลขนี้ได้มากกว่า (หลังเล่นไป 20 เกม) คือซีซั่น 2021-22 (ยิง+จ่าย 28 ลูก)